แข้งค่าตัวแพงสุดลิเวอร์พูล 10 นักเตะแพงสุด
แข้งค่าตัวแพงสุดลิเวอร์พูล ก่อนการมาของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ กลายเป็นแข้งค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรลิเวอร์พูลอย่างเป็นทางการ หลังย้ายจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น มาด้วยสถิติใหม่ 116 ล้านปอนด์
แต่ก่อนที่จะได้เห็นว่า หงส์แดง จะลงทุนครั้งนี้คุ้มค่าแค่ไหน ลองย้อนกลับไปดู 10 แข้งที่เคยทำสถิติค่าตัวสูงสุดของสโมสรก่อนหน้านี้ พร้อมตัดเกรดผลงานว่าใครปังสมราคา และใครยังไปไม่ถึงความคาดหวัง
ปีเตอร์ เบียรด์สลีย์ – 1.9 ล้านปอนด์ (ย้ายจาก นิวคาสเซิ่ล, สิงหาคม 1987)
เบียรด์สลีย์ คือนักเตะคนแรกของลิเวอร์พูลที่ค่าตัวทะลุหลัก 1 ล้านปอนด์ ลงเล่นให้ทีม 4 ปีเต็ม ผลงานยิงและแอสซิสต์แตะเลขสองหลักเกือบทุกฤดูกาล การประสานงานกับ จอห์น อัลดริดจ์ และ จอห์น บาร์นส์ สร้างหนึ่งในแนวรุกที่อันตรายที่สุดในยุคนั้น พาทีมคว้าแชมป์ลีก 2 สมัย และ เอฟเอ คัพ 1 สมัย
หากไม่ใช่เพราะการถูกแบนจากฟุตบอลยุโรป ลิเวอร์พูลชุดนี้อาจได้ชูถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ ด้วย อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ: เขาคือแข้งหงส์แดงคนแรกหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ยิงแฮตทริกใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด (สถิติยืนยาวถึง 21 ปี ก่อน เดิร์ก เคาท์ และ โม ซาลาห์ จะทำได้ตามมา)
ดีน ซอนเดอร์ส – 2.9 ล้านปอนด์ (จาก ดาร์บี้ เคาน์ตี้, กรกฎาคม 1991)
ซอนเดอร์สอยู่กับลิเวอร์พูลเพียงซีซั่นเดียว แม้จะมีดีกรีเป็นคู่หูในทีมชาติเวลส์กับ เอียน รัช แต่กลับประสานงานกันไม่ลงตัวอย่างที่แฟนบอลคาดหวัง
แม้สถิติการยิงประตูถือว่าไม่น่าเกลียด และคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในปี 1992 แต่ถ้วยนี้ก็เป็นเกียรติยศเดียวของเขาที่ แอนฟิลด์ ก่อนย้ายไป แอสตัน วิลล่า ด้วยค่าตัว 2.5 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงสุดของ “สิงห์ผงาด” ในเวลานั้น

สแตน คอลลีมอร์ – 8.5 ล้านปอนด์ (จาก น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, กรกฎาคม 1995)
เปิดตัวได้อย่างหรูหราด้วยการซัดประตูสุดสวยระยะ 25 หลาพาทีมชนะ เชฟฯ เว้นส์เดย์ 1-0 ในเกมแรก แต่เส้นทางที่เหลือกลับเต็มไปด้วยทั้งช่วงพีคและร่วง สองซีซั่นกับลิเวอร์พูล เขาจับคู่กับ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ยิงรวมกันถึง 102 ประตู จนหลายคนยกให้เป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุดของ “ก๊อด”
อย่างไรก็ดี ความไม่สม่ำเสมอทำให้ รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีมในเวลานั้นไม่พอใจนัก อีกทั้งปัญหานอกสนาม เช่น การเลือกไปพักอาศัยนอกลิเวอร์พูลกว่า 80 ไมล์ ส่งผลให้เขามักมาซ้อมไม่ตรงเวลาและถูกวิจารณ์บ่อยครั้ง
เอมิล เฮสกี้ – 11 ล้านปอนด์ (จาก เลสเตอร์ ซิตี้, มีนาคม 2000)
หลังสร้างชื่อกับเลสเตอร์ เฮสกี้ย้ายมาแอนฟิลด์ในฐานะกองหน้าที่ทำงานหนักเพื่อทีม มากกว่าจะเน้นถล่มประตูด้วยตัวเอง เขากลายเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบของ ไมเคิ่ล โอเว่น ซึ่งถึงขั้นยกย่องว่า เฮสกี้คือพาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุดของเขา เพราะช่วยดึงกองหลังและเปิดพื้นที่ให้เล่นได้เต็มศักยภาพ
ซีซั่น 2000/01 คือปีทองของเฮสกี้ ลงสนามมากกว่าคนอื่น ๆ ในทีมเกือบทั้งหมด ยิงประตูรองจากโอเว่นเพียงคนเดียว และช่วยทีมคว้าสามแชมป์ (เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, ยูฟ่า คัพ) ได้สำเร็จ
หนึ่งในโมเมนต์เด่นคือการทำประตูในศึกเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ทั้งสองนัด รวมถึงยิงใส่ โรม่า ในแชมเปี้ยนส์ ลีก เกมประวัติศาสตร์ที่ เชราร์ อุลลิเยร์ กลับมาคุมทีมข้างสนามหลังพักรักษาตัว
ฌิบริล ซิสเซ่ – 14.5 ล้านปอนด์ (จาก โอแซร์, กรกฎาคม 2004)
ซิสเซ่เป็นกองหน้าที่ เชราร์ อุลลิเยร์ หมายตาไว้นาน แต่ตอนที่เขาย้ายมาถึงแอนฟิลด์กลับเป็นยุคของ ราฟา เบนิเตซ แล้ว แม้จะขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและการจบสกอร์ แต่การเริ่มต้นกับลิเวอร์พูลไม่ราบรื่นนัก ยิงได้เพียง 3 ประตูจาก 15 เกมแรก ก่อนโชคร้ายขาหักหนักที่ อีวู้ด พาร์ค ในเดือนตุลาคม 2004 ต้องพักยาวเกือบครึ่งปี
กลับมาทันช่วยทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่อิสตันบูล ปี 2005 โดยรับหน้าที่ยิงจุดโทษไม่พลาดในเกมพลิกชนะเอซี มิลาน และต่อยอดด้วยการยิง+จ่ายพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ กับ ซีเอสเคเอ มอสโกว์ ในปีเดียวกัน

เฟร์นานโด ตอร์เรส – 20.2 ล้านปอนด์ (จาก แอตเลติโก มาดริด, กรกฎาคม 2007)
“เอล นินโญ่” เป็นแข้งสแปนิชรายที่ 9 ของลิเวอร์พูล และกลายเป็นขวัญใจเดอะ ค็อปแทบจะทันทีหลังซัดประตูแรกในเกมเปิดตัวที่เสมอเชลซี 1-1 ก่อนจบซีซั่นแรกด้วยผลงานสุดโหด 33 ประตูจาก 46 นัด ซึ่งมีเพียง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เท่านั้นที่ยิงได้มากกว่าในฤดูกาลแรกกับหงส์แดง
ซีซั่นต่อมา เขาจับคู่กับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ได้อย่างลงตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะพาทีมแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงอย่างนั้นตอร์เรสยังถูกวิจารณ์เรื่องจำนวนประตูในแอนฟิลด์ที่ไม่มากพอ ยิงได้เพียง 27 จาก 81 นัด (คิดเป็น 33%)
และในเดือนมกราคม 2011 ก่อนตลาดปิดเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาสร้างช็อกย้ายไปเชลซีด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์ โดยที่ไม่เคยคว้าแชมป์ใด ๆ ร่วมกับลิเวอร์พูลเลย
แอนดี้ แคร์โรลล์ – 35 ล้านปอนด์ (จาก นิวคาสเซิ่ล, มกราคม 2011)
วันเดียวกับที่ หลุยส์ ซัวเรซ เซ็นสัญญากับหงส์แดง ลิเวอร์พูลก็คว้าตัว แอนดี้ แคร์โรลล์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ณ เวลานั้น กองหน้าเจ้าของร่างยักษ์ถูก kỳหวังว่าจะช่วยลบภาพการเสีย เฟร์นานโด ตอร์เรส ได้ แต่การย้ายทีมมาพร้อมอาการบาดเจ็บทำให้ต้องรอหลายสัปดาห์กว่าจะได้ประเดิมสนาม
แม้เคยโชว์ทีเด็ดซัดสองลูกพาทีมบุกชนะนิวคาสเซิ่ลอดีตต้นสังกัด 3-1 แต่ผลงานรวมกลับน่าผิดหวัง ยิงได้เพียง 9 ประตูจาก 50 นัดแรก เมื่อเทียบกับซัวเรซที่ระเบิดฟอร์มยิงกระจาย แคร์โรลล์จึงตกเป็นเพียงเงาของดาวยิงอุรุกวัย และไม่เคยไปถึงความคาดหวังที่แฟนบอลฝากไว้
โม ซาลาห์ – 43.9 ล้านปอนด์ (จาก โรม่า, มิถุนายน 2017)
ตอนเซ็นสัญญามา หลายคนยังสงสัยเพราะเคยล้มเหลวกับเชลซี แต่ “คิง โม” ใช้เวลาไม่นานก็ลบทุกข้อครหา ด้วยการยิงประตูในเกมเปิดตัวกับวัตฟอร์ด และจากนั้นก็แทบไม่หยุดทั้งยิงทั้งจ่าย ซีซั่นแรกสุดมหัศจรรย์ ยิงไป 44 ประตูจาก 52 เกม ตัวเลขที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อนในซีซั่นแรกกับลิเวอร์พูล
นับจากนั้นมา ซาลาห์กลายเป็นตำนานยุคใหม่ พาทีมคว้าแชมป์ครบทั้ง แชมเปี้ยนส์ ลีก, พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, ซูเปอร์ คัพ และสโมสรโลก พร้อมคว้ารางวัลดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 3 สมัย, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี PFA 2 สมัย และสร้างสถิติอีกมากมาย
ปัจจุบันในวัย 33 เขายิงไปแล้ว 245 ประตู รั้งอันดับ 3 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร รองเพียง โรเจอร์ ฮันต์ (285) และ เอียน รัช (346)

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ – 75 ล้านปอนด์ (จาก เซาธ์แฮมป์ตัน, มกราคม 2018)
หลังเกมรับเป็นปัญหามานาน ลิเวอร์พูลตัดสินใจทุ่มสถิติสโมสรกระชากกัปตันทีมชาติเนเธอร์แลนด์มาร่วมทัพ และเขาก็ตอบแทนทันทีด้วยการโขกประตูชัยใส่เอฟเวอร์ตันในเกมเปิดตัว ฟาน ไดค์เปลี่ยนโฉมแนวรับหงส์แดงให้กลายเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดยุโรป พาทีมเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2018 (แพ้ มาดริด)
ก่อนกลับมาคว้าแชมป์ได้ในปี 2019 ที่มาดริด รวมถึงเป็นกำลังหลักในการล่าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2020 ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเซ็นเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดตลอดกาลของสโมสร คว้ารางวัลส่วนตัวนับไม่ถ้วน และปัจจุบันยังคงสวมปลอกแขนกัปตันทีมอย่างสง่างาม
ดาร์วิน นูนเญซ – 85 ล้านปอนด์ (จาก เบนฟิก้า, มิถุนายน 2022)
กองหน้าทีมชาติอุรุกวัยถูกจับตาหลังยิงใส่ลิเวอร์พูลทั้งสองนัดในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมปี 2022 จนทำให้หงส์แดงยอมทุ่มมหาศาลดึงตัวมา เริ่มต้นสวยยิงได้ทั้งในเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ กับแมนฯ ซิตี้ และนัดเปิดสนามพรีเมียร์ลีกกับฟูแล่ม แต่ก็มาเสียโมเมนตัมอย่างแรงเมื่อถูกไล่ออกในเกมแรกที่แอนฟิลด์จากการโขกหัวใส่ โยอาคิม อันเดอร์เซ่น
ตั้งแต่นั้น นูนเญซเจอเสียงวิจารณ์ต่อเนื่องจากการพลาดโอกาสจบสกอร์บ่อยครั้งจนเสียตำแหน่งตัวจริงให้ หลุยส์ ดิอาซ หลายครั้ง แม้จะยังเป็นอาวุธสำรองที่สร้างความอันตรายได้ สถิติรวม 143 นัด ได้ออกสตาร์ตเพียง 76 นัด ลงเป็นตัวสำรองถึง 67 นัด และยิงได้เพียง 7 ประตูในซีซั่นล่าสุด ทำให้อนาคตของเขากับทีมเริ่มสั่นคลอน มีโอกาสย้ายทีมในซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึง
